วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

คุณมีค่าเท่าไร? What Are You Worth?


 พระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลาย...มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้เช่นเงินและทอง แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์ - 1 เปโตร 1:18-19
มีเรื่องเล่าว่าในปี 75 ก่อนคริสตศักราช หนุ่มชนชั้นสูงชาวโรมันชื่อจูเลียส ซีซาร์ถูกโจรสลัดลักพาตัวไป เมื่อพวกเขาเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 20 ตะลันต์ (ประมาณ 20 ล้านบาทในปัจจุบัน) ซีซาร์หัวเราะและกล่าวว่าพวกโจรคงไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ซีซาร์ยืนกรานให้โจรขึ้นค่าไถ่เป็น 50 ตะลันต์! เพราะอะไร เพราะเขาเชื่อว่าตัวเองมีค่ามากกว่า 20 ตะลันต์
เราเห็นความแตกต่างระหว่างการวัดคุณค่าตัวเองอย่างเย่อหยิ่งของซีซาร์ กับคุณค่าที่พระเจ้าประทานให้เราทุกคน คุณค่าของเราไม่ได้วัดเป็นตัวเงิน แต่วัดจากสิ่งที่พระบิดาในสวรรค์ทรงทำเพื่อเรา
พระองค์ทรงจ่ายค่าไถ่อะไรเพื่อช่วยเราพระบิดาทรงจ่ายค่าไถ่เราจากความบาปด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรองค์เดียวบนกางเขน พระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลายออกจากการประพฤติอันหาสาระมิได้ ซึ่งท่านได้รับต่อจากบรรพบุรุษของท่าน มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทอง แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์” (1 ปต.1:18-19)
พระเจ้าทรงรักเรามากจนยอมสละพระบุตรของพระองค์เพื่อ สิ้นพระชนม์บนกางเขนและฟื้นคืนพระชนม์เพื่อไถ่และช่วยเราให้รอด คุณมีคุณค่ากับพระเจ้ามากถึงเพียงนั้น
พระบิดาเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับความรักที่ทรงสำแดง และราคาที่ทรงจ่ายเพื่ออภัยบาปข้าพระองค์ ขอทรงช่วยให้ชีวิตของข้าพระองค์สำแดงการขอบพระคุณอยู่เสมอ พระองค์คือผู้ทรงคุณค่าเกินกว่ามาตราใดจะวัดได้
คุณค่าของเราวัดจากสิ่งที่พระเจ้าทรงจ่ายเพื่อไถ่เรา

โดย Bill Crowder
พันธกิจมานาประจำวัน

What Are You Worth?

It was not with perishable things such as silver or gold that you were redeemed . . . but with the precious blood of Christ. 1 Peter 1:18–19
There is a story that in 75 bc a young Roman nobleman named Julius Caesar was kidnapped by pirates and held for ransom. When they demanded 20 talents of silver in ransom (about $600,000 today), Caesar laughed and said they obviously had no idea who he was. He insisted they raise the ransom to 50 talents! Why? Because he believed he was worth far more than 20 talents.
What a difference we see between Caesar’s arrogant measure of his own worth and the value God places on each of us. Our worth is not measured in terms of monetary value but by what our heavenly Father has done on our behalf.
What ransom did He pay to save us? Through the death of His only Son on the cross, the Father paid the price to rescue us from our sin. “It was not with perishable things such as silver or gold that you were redeemed from the empty way of life handed down to you from your ancestors, but with the precious blood of Christ” (1 Peter 1:18–19).
God loved us so much that He gave up His Son to die on the cross and rise from the dead to ransom and rescue us. That is what you are worth to Him.
Father, thank You for the love You have shown to me and for the price You paid for my forgiveness. Help my life to be an ongoing expression of gratitude, for You are the One whose worth is beyond measure.
Our worth is measured by what God paid to rescue us.


By Bill Crowder

Our Daily Bread Ministries

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

รวยแล้ว! I’m Rich!

ข้าพระองค์ปีติยินดีในทางแห่งบรรดาพระโอวาทของพระองค์มากเท่ากับในความมั่งคั่งทั้งสิ้น - สดุดี 119:14
คุณอาจเคยเห็นโฆษณาที่มีคนเปิดประตูมาพบคนยื่นเช็คที่มีเงินก้อนโตให้ ผู้รับประหลาดใจและโห่ร้อง กระโดดโลดเต้นกอดทุกคนที่เห็น ชนะแล้ว! รวยแล้ว! เหลือเชื่อ! หมดปัญหาแล้ว!เมื่อได้เงินจำนวนมาก เราก็แสดงอารมณ์ตอบสนองเต็มที่
ในสดุดี 119 ซึ่งเป็นบทที่ยาวที่สุดในพระคัมภีร์ เราพบถ้อยคำน่าทึ่งนี้ ข้าพระองค์ปีติยินดีในทางแห่งบรรดาพระโอวาทของพระองค์มากเท่ากับในความมั่งคั่งทั้งสิ้น” (ข้อ 14) ช่างเป็นภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจน การเชื่อฟังคำแนะนำของพระเจ้าเรื่องการใช้ชีวิต น่าตื่นเต้นเท่ากับการได้รางวัลใหญ่! ข้อ 16 กล่าวซ้ำอีกครั้งเมื่อผู้เขียนสดุดีแสดงความยินดีและขอบคุณสำหรับพระบัญญัติ ข้าพระองค์จะปีติยินดีในกฎเกณฑ์ของพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ลืมพระวจนะของพระองค์
แต่ถ้าเราไม่รู้สึกเช่นนั้น เราสงสัยว่าการยินดีในคำสั่งของพระเจ้า จะน่าตื่นเต้นเหมือนถูกรางวัลได้อย่างไร ทั้งหมดเริ่มต้นที่การรู้สึกขอบพระคุณซึ่งเป็นทั้งทัศนคติและทางเลือก เราใส่ใจกับสิ่งที่เราให้คุณค่า เราจึงเริ่มสำแดงการขอบพระคุณสำหรับของประทานที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณเรา เราขอให้พระองค์เปิดตาเราให้เห็นคลังแห่งพระปัญญา ความรู้และสันติสุขที่ประทานให้เราผ่านทางพระวจนะ
เมื่อความรักที่เรามีต่อพระเยซูเติบโตขึ้นทุกวัน นั่นคือการร่ำรวยขึ้นอย่างแท้จริง!
พระบิดา ขอทรงเปิดตาเพื่อเราจะเห็นความอัศจรรย์ในกฎเกณฑ์ของพระองค์ ขอบคุณพระองค์ที่คำสั่งของพระองค์ให้คำแนะนำที่ชาญฉลาด
ทรัพย์สมบัติแห่งความจริงของพระเจ้ากำลังรอให้เราค้นพบในพระวจนะของพระองค์

โดย David McCasland
พันธกิจมานาประจำวัน






I’m Rich!
I rejoice in following your statutes as one rejoices in great riches. Psalm 119:14
Perhaps you’ve seen the TV ad in which a person answers the door and finds someone who hands over a check for an enormous amount of money. Then the amazed recipient begins shouting, dancing, jumping, and hugging everyone in sight. “I won! I’m rich! I can’t believe it! My problems are solved!” Striking it rich evokes a great emotional response.
In Psalm 119, the longest chapter in the Bible, we find this remarkable statement: “I rejoice in following your statutes as one rejoices in great riches” (v. 14). What a comparison! Obeying God’s instructions for living can be just as exhilarating as receiving a fortune! Verse 16 repeats this refrain as the psalmist expresses grateful gladness for the Lord’s commands. “I delight in your decrees; I will not neglect your word.”
Gratitude is both an attitude and a choice.
But what if we don’t feel that way? How can delighting in God’s instructions for living be just as exhilarating as receiving a fortune? It all begins with gratitude, which is both an attitude and a choice. We pay attention to what we value, so we begin by expressing our gratitude for those gifts of God that nourish our souls. We ask Him to open our eyes to see the storehouse of wisdom, knowledge, and peace He has given us in His Word.
As our love for Jesus grows each day, we indeed strike it rich!
Dear Father, open our eyes that we may see wonderful things in Your law. Thank You that Your instructions give wise advice.
Rich treasures of God’s truth are waiting to be discovered in His Word.

By David McCasland

Our Daily Bread Ministries

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

งดงาม Beautiful



หญิงคนนี้ได้ทำสิ่งดีงามให้เรา - มาระโก 14:6 (อมตธรรม)
นึกภาพวัยรุ่นหญิงสองคน คนแรกสุขภาพดีแข็งแรง อีกคนไม่เคยรู้จักการได้ไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง เธอต้องนั่งรถเข็นและไม่เพียงเจอความท้าทายทางอารมณ์เช่นคนทั่วไปเท่านั้น แต่ยังต้องพบความลำบากและเจ็บปวดทางร่างกายอยู่เสมอ
แต่เด็กสาวทั้งสองคนยิ้มอย่างร่าเริงขณะอยู่ด้วยกัน วัยรุ่นงดงามสองคนที่ต่างเห็นคุณค่าของมิตรภาพในกันและกัน
พระเยซูทรงอุทิศเวลาและสนใจคนที่เหมือนกับเด็กหญิงนั่งรถเข็นคนนั้น คนที่มีความพิการหรือความผิดปกติทางกาย รวมทั้งคนที่ถูกดูหมิ่นไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม พระเยซูทรงให้คนหนึ่ง ในคนเหล่านั้นชโลมพระองค์ด้วยน้ำมันหอม สร้างความรังเกียจให้กับผู้นำศาสนา (ลก.7:39) อีกครั้งหนึ่ง เมื่อหญิงคนหนึ่งสำแดงความรักคล้ายๆ กัน พระเยซูตรัสกับคนวิจารณ์ว่า อย่ายุ่งกับนางหญิงคนนี้ได้ทำสิ่งดีงามให้เรา” (มก.14:6)
พระเจ้าทรงให้คุณค่าทุกคนเท่ากัน ในสายพระเนตรพระองค์ไม่มีความแตกต่าง ในความเป็นจริง เราต่างต้องการความรักและการให้อภัยของพระคริสต์ ความรักของพระองค์ทำให้ทรงยอมตายบนกางเขนเพื่อเรา
ขอให้เราเห็นผู้อื่นเหมือนที่พระเยซูทรงเห็น คือ ถูกสร้างตามพระฉายาและควรค่ากับความรักของพระเจ้า ขอให้เราปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมและเรียนรู้ที่จะมองเห็นสิ่งดีงามอย่างที่พระองค์ทรงเห็น
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยให้เราเห็นคนอื่นอย่างที่พระองค์ทรงเห็นไม่ใช่สำคัญที่ความสามารถหรือหน้าตา แต่เพราะพวกเขาถูกสร้างตามพระฉายาและทรงรักพวกเขามากจนยอมตายเพื่อพวกเขา
ทุกคนที่เราพบ ต่างมีพระฉายาของพระเจ้า
โดย Dave Branon
พันธกิจมานาประจำวัน







Beautiful
She has done a beautiful thing to me. Mark 14:6
Picture two teenage girls. The first girl is strong and healthy. The other girl has never known the freedom of getting around on her own. From her wheelchair she faces not only the emotional challenges common to life, but also a stream of physical pains and struggles.
But both girls are smiling cheerfully as they enjoy each other’s company. Two beautiful teenagers—each seeing in the other the treasure of friendship.
Everyone we meet bears the image of God.
Jesus devoted much of His time and attention to people like the girl in the wheelchair. People with lifelong disabilities or physical deformities as well as those who were looked down on by others for various reasons. In fact, Jesus let one of “those people” anoint Him with oil, to the disdain of the religious leaders (Luke 7:39). On another occasion, when a woman demonstrated her love with a similar act, Jesus told her critics, “Leave her alone . . . . She has done a beautiful thing to me” (Mark 14:6).
God values everyone equally; there are no distinctions in His eyes. In reality, we are all in desperate need of Christ’s love and forgiveness. His love compelled Him to die on the cross for us.
May we see each person as Jesus did: made in God’s image and worthy of His love. Let’s treat everyone we meet with Christ like equality and learn to see beauty as He does.
Dear Lord, help me to see people as You see them—not important because of what they can do or how they look, but because they are made in God’s image and You loved them enough to die for them.
Everyone we meet bears the image of God.

By Dave Branon

Our Daily Bread Ministries

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พู่สีแดง The Red Hackle

 มันแก่แล้วก็ยังเกิดผล - สดุดี 92:14
หลายปีก่อนผมบังเอิญไปอ่านเจอเรื่องเล่าโบราณเกี่ยวกับการตกปลาโดยอีลิอัน นักเขียนชาวกรีกสมัยศตวรรษที่สองก่อนคริสตศักราช มีแม่น้ำสายหนึ่งชื่อแอสตราคัสไหลผ่านระหว่างโบโรคากับเธสะโลนิกา ในแม่น้ำนั้นมีปลาที่มีผิวหนังลายจุด [ปลาเทร้าต์]จากนั้นเขาอธิบายเรื่อง เบ็ดตกปลาซึ่งฉลาดกว่าปลา พวกเขาผูกพู่ขนสัตว์สีแดงไว้รอบตะขอและติดขนนกสองอัน จากนั้นโยนลงไปในน้ำปลาซึ่งถูกดึงดูดด้วยสีสันสดใสจะขึ้นมา ด้วยนึกว่าอาหารมาแล้ว” (ธรรมชาติของสัตว์)
ชาวประมงยังคงใช้เบ็ดที่เรียกว่า พู่สีแดงแบบนี้ในปัจจุบัน ซึ่งใช้ครั้งแรกเมื่อ 2,200 ปีมาแล้ว และยังคงเป็นเบ็ดที่ ฉลาดกว่าปลาจวบจนทุกวันนี้
เมื่ออ่านเรื่องวิธีโบราณนี้ ผมคิดได้ว่า ไม่ใช่ของเก่าทุกอย่างจะล้าสมัยเสมอไป โดยเฉพาะคน ถ้าหากการเป็นคนชราที่สดชื่นและพึงพอใจกับชีวิต จะแสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงความบริบูรณ์และความล้ำลึกของพระเจ้าได้ เราก็จะเป็นคนที่มีประโยชน์จวบจนวันสุดท้าย วัยชราไม่จำเป็นต้องจดจ่ออยู่แต่สุขภาพที่ย่ำแย่ หวนคิดถึงแต่อดีต แต่วัยชราสามารถเปี่ยมด้วยความสงบสุขรื่นเริง กล้าหาญและอ่อนโยน ซึ่งเป็นผลของคนที่แก่ชราไปกับพระเจ้า
คนได้ปลูกมันไว้ในพระนิเวศของพระเจ้ามันแก่แล้วก็ยังเกิดผลมันมีน้ำเลี้ยงเต็มและเขียวสดอยู่” (สดด.92:13-14)
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ทรงสัตย์ซื่อมาตลอดชีวิตของเรา ขอทรงช่วยให้ชีวิตเราจบลงอย่างงดงามในการรับใช้พระองค์และไม่ลืมว่าวัยชราไม่ได้แปลว่าไร้ประโยชน์
ยิ่งเดือนปีผันผ่าน ความสัตย์ซื่อของพระเจ้ายิ่งทวีคูณ

โดย David Roper
พันธกิจมานาประจำวัน








The Red Hackle
They will still bear fruit in old age. Psalm 92:14
Several years ago I stumbled across a bit of fishing lore in a second-century ad work by the Greek writer Aelian. “Between Boroca and Thessalonica runs a river called the Astracus, and in it there are fish with spotted skins [trout].” He then describes a “snare for the fish, by which they get the better of them. They fastened crimson red wool round a hook and attached two feathers. Then they would throw their snare, and the fish, attracted by the color, comes up, thinking to get a mouthful” (On the Nature of Animals).
Fishermen still use this lure today. It is called the Red Hackle. First used over 2,200 years ago, it remains a snare for trout by which we “get the better of them.”
When I read that ancient work I thought: Not all old things are passé—especially people. If through contented and cheerful old age we show others the fullness and deepness of God, we’ll be useful to the end of our days. Old age does not have to focus on declining health, pining over what once was. It can also be full of tranquility and mirth and courage and kindness, the fruit of those who have grown old with God.
“Those who are planted in the house of the Lord . . . shall still bear fruit in old age; they shall be fresh and flourishing” (Ps. 92:13–14 nkjv).
Lord, thank You for Your faithfulness throughout our lives. Help us finish our lives well in service to You and to remember that old age does not mean uselessness.
As the years add up, God’s faithfulness keeps multiplying.

By David Roper

Our Daily Bread Ministries

ยังไม่ส่ง Unsend

ผู้ที่จะรักชีวิตและปรารถนาที่จะเห็นวันดี ก็ให้ผู้นั้นยั้งลิ้นของตนไม่พูดสิ่งชั่ว และห้ามปากไม่ให้พูดเป็นอุบายล่อลวง - 1 เปโตร 3:10
คุณเคยส่งอีเมล์ไปแล้วค่อยนึกได้ว่าส่งผิดคนหรือใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไปไหม ถ้ามีปุ่มให้กดหยุดส่งได้ก็คงดี ตอนนี้คุณทำแบบนั้นได้แล้ว หลายบริษัทมีบริการที่ให้เวลาสั้นๆ หลังจากส่งอีเมล์ที่คุณจะหยุดการส่งออกที่คอมพิวเตอร์ของคุณได้ทัน หลังจากนั้น อีเมล์ก็เหมือนกับถ้อยคำที่พูดออกไปแล้วไม่สามารถถอนคืนได้ แทนที่เราจะมองว่าปุ่ม ยังไม่ส่งเป็นทางออกของทุกๆ ปัญหา เราควรมองว่านั่นเป็นการเตือนเราว่าการระมัดระวังคำพูดเป็นสิ่งสำคัญมาก
จดหมายฉบับแรกของอัครทูตเปโตร ได้บอกผู้ติดตามพระเยซูว่า อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขาเพราะว่าผู้ที่จะรักชีวิตและปรารถนาที่จะเห็นวันดี ก็ให้ผู้นั้นยั้งลิ้นของตนไม่พูดสิ่งชั่ว และห้ามปากไม่ให้พูดเป็นอุบายล่อลวง ให้เขาละความชั่วและกระทำความดี ให้เขาใฝ่หาสันติสุขและมุ่งดำเนินไป” (1 ปต.3:9-11)
ดาวิดผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตั้งยามเฝ้าปากของข้าพระองค์ ขอรักษาประตูริมฝีปากของข้าพระองค์” (สดด.141:3) คำอธิษฐานนี้เหมาะสำหรับเริ่มต้นวันและทุกครั้งที่เราอยากเอาคืนด้วยคำพูดแรงๆ
พระเจ้าข้า ขอทรงตั้งยามเฝ้าคำพูดของเราวันนี้ เพื่อเราจะไม่ทำร้ายผู้อื่นด้วยสิ่งที่เราพูดออกไป พระบิดา ขอทรงสอนให้เราระวังจิตใจเป็นสิ่งแรก เพื่อเราจะระวังลิ้นของเราและเมื่อพูดสิ่งที่ไม่สมควร ขอช่วยเราถ่อมใจลงขอโทษและขอการให้อภัย
ความตายความเป็นอยู่ที่อำนาจของลิ้น - สุภาษิต 18:21

โดย David McCasland
พันธกิจมานาประจำวัน








Unsend
Whoever would love life and see good days must keep their tongue from evil and their lips from deceitful speech.  1 Peter 3:10
Have you ever sent an email and suddenly realized it went to the wrong person or it contained harmful, harsh words? If only you could press a key and stop it. Well, now you can. Several companies offer a feature that gives you a brief time after sending an email to stop it from leaving your computer. After that, the email is like a spoken word that cannot be unsaid. Rather than being seen as a cure-all, an “unsend” feature should remind us that it’s extremely important to guard what we say.
In the apostle Peter’s first letter, he told the followers of Jesus, “Do not repay evil with evil or insult with insult. On the contrary, repay evil with blessing. . . . For, ‘whoever would love life and see good days must keep their tongue from evil and their lips from deceitful speech. They must turn from evil and do good; they must seek peace and pursue it’ ” (1 Peter 3:9–11).
 “Set a guard over my mouth, Lord; keep watch over the door of my lips” (Ps. 141:3). That’s a great prayer for the beginning of each day and in every situation when we want to strike back with words.
Lord, guard our words today so we may not harm others by what we say.
Father, teach us first to guard our hearts so that we may guard our tongues. And help us, when we do say things we regret, to humbly apologize and seek forgiveness.
The tongue has the power of life and death.  Proverbs 18:21

By David McCasland

Our Daily Bread Ministries

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ข้อเสนอดีที่สุด! Best Deal Ever!

เมื่อของดีเพิ่มพูนขึ้น คนกินก็มีคับคั่งขึ้น คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์จะได้ประโยชน์อะไร 
- ปัญญาจารย์ 5:11
มากเท่าไรจึงจะพอ เราอาจถามคำถามนี้ในวันที่ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศถือเป็นวันแห่งการจับจ่ายซื้อของ ฉันหมายถึงวันที่เรียกว่าแบล็ค ฟรายเดย์ หรือวันถัดจากวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งร้านค้าต่างเปิดทำการแต่เช้าและขายสินค้าลดราคา เป็นวันที่เริ่มต้นในสหรัฐและขยายไปหลายประเทศ นักจับจ่ายบางคนมีเงินจำกัดและพยายามหาซื้อของตามเงินที่มี แต่น่าเศร้าที่หลายคนจับจ่ายซื้อของด้วยความโลภและใช้ความรุนแรงแย่งกันซื้อสินค้าราคาถูก
สติปัญญาของผู้เขียนพระคัมภีร์เดิมที่รู้จักในชื่อ ปัญญาจารย์” (1:1) ให้ยาแก้กระแสบริโภคนิยมอย่างบ้าคลั่งที่เราอาจพบเจอในร้านค้าต่างๆ และในใจของเราเอง ท่านชี้ว่าคนที่รักเงินจะไม่มีวันพอและจะถูกทรัพย์สมบัติของตัวเองครอบงำ กระนั้น พวกเขาก็จะตายตัวเปล่า เขาได้คลอดมาฉันใดเขาจะกลับไปอีกเช่นเดียวกันฉันนั้น” (5:15) อัครทูตเปาโลกล่าวเหมือนปัญญาจารย์ในจดหมายถึงทิโมธี เมื่อท่านบอกว่าการรักเงินทองคือรากแห่งความชั่วทั้งปวง และเราควรแสวงหา ทางของพระเจ้าพร้อมทั้งความสุขใจ”(1 ทธ.6:6-10)
ไม่ว่าเราจะอยู่อย่างมั่งคั่งหรือไม่ เราต่างหาวิธีการแย่ๆ มาเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่าเพราะขาดพระเจ้า แต่เมื่อเราแสวงหาสันติสุขและความสุขสมบูรณ์จากพระเจ้า พระองค์จะทรงเติมเต็มเราด้วยความดีและความรักของพระองค์
พระองค์ทรงสร้างเรามาเพื่อพระองค์เอง และใจของเราจะไม่หยุดนิ่งจนกว่าจะได้พักสงบในพระองค์ออกัสติน, คำสารภาพ
ความพอใจแท้ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งใดในโลกนี้
โดย Amy Boucher Pye
พันธกิจมานาประจำวัน
  
Best Deal Ever!
As goods increase, so do those who consume them. And what benefit are they to the owners? Ecclesiastes 5:11
How much is enough? We might ask this simple question on a day that many developed countries increasingly devote to shopping. I speak of Black Friday, the day after the US Thanksgiving holiday, in which many stores open early and offer cut-price deals; a day that has spread from the States to other nations. Some shoppers have limited resources and are trying to purchase something at a price they can afford. But sadly, for others greed is the motivation, and violence erupts as they fight for bargains.
The wisdom of the Old Testament writer known as “the Teacher” (Eccl. 1:1) provides an antidote to the frenzy of consumerism we may face in the shops—and in our hearts. He points out that those who love money never will have enough and will be ruled by their possessions. And yet, they will die with nothing: “As everyone comes, so they depart” (5:15). The apostle Paul echoes the Teacher in his letter to Timothy, when he says that the love of money is a root of all kinds of evil, and that we should strive for “godliness with contentment” (1 Tim. 6:6–10).
Whether we live in a place of plenty or not, we all can seek unhealthy ways of filling the God-shaped hole in our hearts. But when we look to the Lord for our sense of peace and well-being, He will fill us with His goodness and love.
“You have formed us for Yourself, and our hearts are restless till they find rest in You.” Augustine, The Confessions
True contentment does not depend on anything in this world.

By Amy Boucher Pye | See Other Authors

The Daily Ministies

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เกมขอบคุณ Game of Thanks

เมื่อท่านจะกระทำสิ่งใด...ก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า และขอบพระคุณพระบิดาเจ้า โดยพระองค์นั้น - โคโลสี 3:17
ทุกฤดูใบไม้ร่วงเราเลี้ยงฉลองเทศกาลขอบคุณพระเจ้าอย่างยิ่งใหญ่ที่มหาวิทยาลัยคอร์เนอร์สโตน นักศึกษาชอบมาก ปีที่แล้วนักศึกษากลุ่มหนึ่งเล่นเกมที่โต๊ะอาหาร โดยท้าทายให้แต่ละคนเอ่ยสิ่งที่ตัวเองรู้สึกขอบคุณภายในสามวินาทีโดยไม่ซ้ำกับคนอื่น ใครตอบช้าแพ้
มีเรื่องมากมายที่นักเรียนชอบบ่น ทั้งเรื่องสอบ กำหนดส่งงาน กฎระเบียบและเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับการเรียนที่นั่น แต่นักศึกษาเหล่านี้กลับเลือกที่จะขอบพระคุณ และผมเดาว่าหลังจากจบเกมแล้ว พวกเขาจะรู้สึกดีขึ้นมากกว่าการที่พวกเขาเลือกบ่นแน่ๆ
แม้จะมีเรื่องให้บ่นได้อยู่เสมอ แต่ถ้ามองดูให้ดีเราจะพบว่ามีพระพรให้ขอบคุณได้เสมอ เมื่อเปาโลพูดถึงสิ่งใหม่ในพระคริสต์ การขอบพระคุณเป็นสิ่งเดียวที่ถูกกล่าวถึงมากกว่าหนึ่งครั้ง คือถึงสามครั้ง เปาโลกล่าวในโคโลสี 3:15 ว่า ท่านจงมีใจกตัญญูถวายเพลงแด่พระเจ้า ด้วยใจโมทนาขอบพระคุณ” (ข้อ 16) และไม่ว่าจะทำสิ่งใด ให้ ขอบพระคุณพระบิดาเจ้า”(ข้อ 17) คำแนะนำของเปาโลที่ให้ขอบพระคุณยิ่งน่าทึ่งเมื่อเรารู้ว่าเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้จากในคุก!
ข้าแต่พระเจ้า ขอสอนให้เรามีความชื่นชมยินดีเต็มเปี่ยมที่มาจากการขอบพระคุณขอทรงช่วยให้เราพบพระพรที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่เราบ่นและให้เราขอบคุณพระองค์และผู้อื่นอยู่เสมอ
จงเลือกที่จะขอบคุณ

โดย Joe Stowell
พันธกิจมานาประจำวัน

Game of Thanks
Whatever you do, . . do it all in the name of the Lord Jesus, giving thanks to God the Father through Him. Colossians 3:17
Every autumn we throw a scrumptious Thanksgiving feast on campus at Cornerstone University. Our students love it! Last year a group of students played a game at their table. They challenged each other to name something they were thankful for—in three seconds or less—without repeating what someone else had said. Anyone who hesitated was out of the game.
There are all kinds of things that students might gripe about—tests, deadlines, rules, and a host of other college-type complaints. But these students had chosen to be thankful. And my guess is that they all felt a lot better after the game than they would have if they had chosen to complain.
While there will always be things to complain about, if we look carefully there are always blessings to be thankful for. When Paul describes our newness in Christ, “thankfulness” is the only characteristic mentioned more than once. In fact it is mentioned three times. “Be thankful,” he says in Colossians 3:15. Sing to God “with gratitude in your hearts” (v. 16). And whatever you do, be sure to be “giving thanks to God the Father” (v. 17). Paul’s instruction to be thankful is astonishing when we consider that he wrote this letter from prison!
Lord, teach me the liberating joy of being thankful! Help me to find the blessings that are locked up in the things I complain about and to regularly express my gratitude to You and others.
Choose the attitude of gratitude.

By Joe Stowell
The Daily Ministies

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ชื่อเสียงกับความถ่อม Fame and Humility

 พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน - ฟีลิปปี 2:8
พวกเราหลายคนหมกมุ่นกับชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือการติดตามรายละเอียดชีวิตคนดัง งานหนังสือหรือภาพยนตร์นานาชาติการออกรายการสัมภาษณ์ทางทีวี จำนวนผู้ติดตามในทวิตเตอร์นับล้าน
ไม่นานมานี้ นักวิจัยสหรัฐจัดอันดับรายชื่อบุคคลมีชื่อเสียงโดยใช้วิธีพิเศษที่พัฒนามาเพื่อสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต พระเยซูติดอันดับบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์
แต่พระเยซูไม่เคยสนพระทัยการเป็นคนดังเมื่อทรงอยู่ในโลก พระองค์ไม่เคยแสวงหาชื่อเสียง (มธ.9:30; ยน.6:15) แม้ชื่อเสียงจะติดตามพระองค์ไปเช่นเดียวกับข่าวเรื่องพระองค์ที่แพร่สะพัดไปทั่วแคว้นกาลิลีอย่างรวดเร็ว (มก.1:28; ลก.4:37)
ไม่ว่าพระเยซูเสด็จไปไหน ฝูงชนรวมตัวขึ้นที่นั่น การอัศจรรย์ที่ทรงทำดึงดูดคนมากมายมาหาพระองค์ แต่เมื่อพวกเขาจะบังคับให้พระองค์เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็ทรงหลบหนีไป (ยน.6:15) พระประสงค์ของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระองค์จึงทำตามน้ำพระทัยและเวลาของพระบิดาเสมอ (4:34; 8:29; 12:23) “พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟป.2:8)
เป้าหมายของพระเยซูไม่ใช่ชื่อเสียง พระประสงค์ของพระองค์เรียบง่าย ในฐานะพระบุตร พระองค์ทรงถ่อม เชื่อฟังและยินดีถวายตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเรา
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงคู่ควรแก่คำสรรเสริญยิ่งนัก ทรงสูงส่งและทรงนามเหนือนามใดๆ วันหนึ่งทุกเข่าจะกราบลงและทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
          พระเยซูเสด็จมาไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง แต่เพื่อถ่อมพระทัยถวายตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเรา

โดย Cindy Hess Kasper
พันธกิจมานาประจำวัน

Fame and Humility
He humbled himself by becoming obedient to death—even death on a cross! Philippians 2:8
Many of us are obsessed with fame—either with being famous ourselves or with following every detail of famous people’s lives. International book or film tours. Late-night show appearances. Millions of followers on Twitter.
In a recent study in the US, researchers ranked the names of famous individuals using a specially developed algorithm that scoured the Internet. Jesus topped the list as the most famous person in history.
Yet Jesus was never concerned about obtaining celebrity status. When He was here on earth, He never sought fame (Matt. 9:30; John 6:15)—although fame found Him all the same as news about Him quickly traveled throughout the region of Galilee (Mark 1:28; Luke 4:37).
Wherever Jesus went, crowds soon gathered. The miracles He performed drew people to Him. But when they tried to make Him a king by force, He slipped away by Himself (John 6:15). United in purpose with His Father, He repeatedly deferred to the Father’s will and timing (4:34; 8:29; 12:23). “He humbled himself by becoming obedient to death—even death on a cross” (Phil. 2:8).
Fame was never Jesus’s goal. His purpose was simple. As the Son of God, He humbly, obediently, and voluntarily offered Himself as the sacrifice for our sins.
You are to be celebrated, Lord, above all others. You have been highly exalted and given a name that is above every name. One day every knee will bow and every tongue confess that You are Lord.
Jesus came not to be famous, but to humbly offer Himself as the sacrifice for our sins.

By Cindy Hess Kasper

The Daily Ministies

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อยากกลับบ้าน Longing for Home

เขาปรารถนาที่จะอยู่ในเมืองที่ประเสริฐกว่านั้นคือเมืองสวรรค์ - ฮีบรู 11:16
ภรรยาเดินเข้ามาเห็นผมกำลังยื่นหน้าเข้าไปในตู้นาฬิกาโบราณ ทำอะไรอยู่เธอถาม ผมตอบอายๆ พร้อมปิดประตูตู้ว่า นาฬิกานี้กลิ่นเหมือนบ้านพ่อแม่ผมเลย คุณอาจจะพูดว่าเหมือนผมได้กลับไปบ้านครู่หนึ่งก็ได้
กลิ่นมีพลังปลุกความทรงจำเก่าๆ ได้ เราย้ายนาฬิกาเรือนนั้นข้ามประเทศจากบ้านพ่อแม่ผมมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่กลิ่นไม้ข้างในยังคงทำให้ผมหวนกลับไปในวัยเด็ก
ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูพูดถึงคนที่ปรารถนาจะกลับบ้านในอีกแบบหนึ่ง แทนที่จะมองย้อนกลับไป พวกเขามองไปข้างหน้ายังบ้านในสวรรค์ด้วยความเชื่อ แม้สิ่งที่พวกเขาหวัง ดูจะอยู่ไกลแสนไกล แต่พวกเขาก็วางใจว่าพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อจะทรงรักษาพระสัญญาที่จะนำพวกเขาไปยังที่ซึ่งจะได้อยู่กับพระองค์ตลอดไป (ฮบ.11:13-16)
ฟีลิปปี 3:20 เตือนเราว่า บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์และเราต้อง รอคอยผู้ช่วยให้รอด ซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์คือพระเยซูคริสตเจ้าการตั้งตารอคอยพระเยซูและรับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ผ่านทางพระองค์ จะช่วยให้เราจดจ่อถูกที่ ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันก็ไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้า
ข้าแต่พระเยซู ขอบพระคุณที่ทรงสัตย์ซื่อรักษาพระสัญญา ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์จดจ่อรอคอยพระองค์เสมอ
บ้านที่ดีที่สุดคือบ้านของเราในสวรรค์

โดย James Banks
พันธกิจมานาประจำวัน

Longing for Home

They were longing for a better country—a heavenly one. Hebrews 11:16

My wife walked into the room and found me poking my head inside the cabinet of our grandfather clock. “What are you doing?” she asked. “This clock smells just like my parents’ house,” I answered sheepishly, closing the door. “I guess you could say I was going home for a moment.”
The sense of smell can evoke powerful memories. We had moved the clock across the country from my parents’ house nearly twenty years ago, but the aroma of the wood inside it still takes me back to my childhood.
The writer of Hebrews tells of others who were longing for home in a different way. Instead of looking backward, they were looking ahead with faith to their home in heaven. Even though what they hoped for seemed a long way off, they trusted that God was faithful to keep His promise to bring them to a place where they would be with Him forever (Heb. 11:13–16).
Philippians 3:20 reminds us that “our citizenship is in heaven,” and we are to “eagerly await a Savior from there, the Lord Jesus Christ.” Looking forward to seeing Jesus and receiving everything God has promised us through Him help us keep our focus. The past or the present can never compare with what’s ahead of us!
Jesus, thank You that You are faithful to keep Your promises. Please help me to always look forward to You.
The best home of all is our home in heaven.
By James Banks
The Daily Ministies

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แล้วคุณล่ะ What About You?

“ความตายความเป็น อยู่ที่อำนาจของลิ้น”  - สุภาษิต 18:21
เอมิลี่นั่งฟังเพื่อนๆ คุยกันเรื่องธรรมเนียมการฉลองวันขอบคุณพระเจ้าในครอบครัว แกรี่บอกว่า เราเวียนให้แต่ละคนพูดว่ามีอะไรขอบคุณพระเจ้าบ้าง
เพื่อนอีกคนพูดถึงมื้ออาหารและการอธิษฐานในวันขอบคุณพระเจ้าของครอบครัวเขายังจำช่วงเวลากับพ่อก่อนท่านเสียได้ว่า แม้พ่อจะความจำเสื่อม แต่คำอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าของท่านชัดเจนแรนดี้เล่าว่า ครอบครัวผมชอบร้องเพลงร่วมกัน คุณยายร้องได้เรื่อยๆ ไม่หยุดเลยเอมิลี่เศร้าและรู้สึกอิจฉาเมื่อคิดถึงครอบครัวของตัวเองและบ่นว่า บ้านฉันกินไก่งวง ดูทีวีและไม่เคยพูดถึงพระเจ้าหรือกล่าวขอบคุณเลย
ทันใดนั้น เอมิลี่ไม่สบายใจกับทัศนคติของตัวเองและถามตัวเองว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เธอจะทำอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงบรรยากาศวันนั้นได้บ้าง เธอตัดสินใจจะบอกแต่ละคนว่าเธอขอบคุณพระเจ้าที่มีพวกเขาเป็นพี่เป็นน้อง เป็นหลานหรือเหลน เมื่อวันนั้นมาถึง เธอกล่าวขอบคุณพระเจ้าสำหรับพวกเขาทีละคน และทุกคนต่างรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รัก นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะไม่ใช่การสนทนาตามปกติในครอบครัวของเธอ แต่เธอได้พบความชื่นชมยินดีเมื่อแบ่งปันความรักให้แต่ละคน
อัครทูตเปาโลเขียนว่า จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง” (อฟ.4:29) คำขอบคุณของเราทำให้ผู้อื่นรู้ว่าเขามีคุณค่าต่อเราและต่อพระเจ้า
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสำแดงให้ข้าพระองค์เห็นว่าจะหนุนใจผู้อื่นด้วยคำพูดได้อย่างไร
จิตวิญญาณมนุษย์เปี่ยมด้วยความหวังเมื่อได้ฟังคำหนุนใจ

โดย Anne Cetas
พันธกิจมานาประจำวัน
 What About You?

The tongue has the power of life and death. Proverbs 18:21

Emily listened as a group of friends talked about their Thanksgiving traditions with family. “We go around the room and each one tells what he or she is thankful to God for,” Gary said.
Another friend mentioned his family's Thanksgiving meal and prayertime. He recalled time with his dad before he had died: “Even though Dad had dementia, his prayer of thanks to the Lord was clear.” Randy shared, “My family has a special time of singing together on the holiday. My grandma goes on and on and on!” Emily’s sadness and jealousy grew as she thought of her own family, and she complained: “Our traditions are to eat turkey, watch television, and never mention anything about God or giving thanks.”
Right away Emily felt uneasy with her attitude. You are part of that family. What would you like to do differently to change the day? she asked herself. She decided she wanted to privately tell each person she was thankful to the Lord that they were her sister, niece, brother, or great-niece. When the day arrived, she expressed her thankfulness for them one by one, and they all felt loved. It wasn’t easy because it wasn’t normal conversation in her family, but she experienced joy as she shared her love for each of them.
“Let everything you say be good and helpful,” wrote the apostle Paul, “so that your words will be an encouragement to those who hear them” (Eph. 4:29 nlt). Our words of thanks can remind others of their value to us and to God.
Dear Lord, show me how I can be an encouragement to others with my words.
The human spirit fills with hope at the sound of an encouraging word.


By Anne Cetas

The Daily Ministies

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความเชื่อที่เสียสละ Sacrificial Faith

 บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา - มัทธิว 5:10
บ่ายวันอาทิตย์ฉันนั่งอยู่ในสวนที่บ้านใกล้กับคริสตจักรที่สามีฉันรับใช้อยู่ เสียงเพลงสรรเสริญและนมัสการภาษาฟาร์ซีดังลอยมาคริสตจักรเราในลอนดอนจัดการนมัสการสำหรับชาวอิหร่าน และความร้อนรนที่พวกเขามีต่อพระคริสต์หนุนใจเราเมื่อพวกเขาเล่าถึงการถูกข่มเหงหรือผู้ที่สละชีวิตเพื่อความเชื่อ เช่น น้องชายของศิษยาภิบาลอาวุโส ผู้เชื่อที่สัตย์ซื่อเหล่านี้ดำเนินรอยตามสเทเฟน คริสเตียนคนแรกที่ถูกฆ่าตายเพราะความเชื่อ
สเทเฟนเป็นผู้นำในคริสตจักรยุคแรก ท่านเป็นที่รู้จักในเยรูซาเล็มเพราะ ทำการมหัศจรรย์และทำการเป็นนิมิตใหญ่” (กจ.6:8) และถูกนำไปสู้คดีต่อหน้าผู้นำชาวยิว ท่านร้อนรนปกป้องความเชื่อ แล้วกล่าวโทษผู้กล่าวหาที่ใจดื้อดึง แทนที่จะกลับใจ พวกเขากลับ รู้สึกบาดใจและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่” (7:54) ขับไล่สเทเฟนออกนอกกรุงและเอาหินขว้างจนตาย แต่สเทเฟนอธิษฐานขอพระเจ้าอภัยให้พวกเขา
เรื่องราวของสเทเฟนและผู้พลีชนม์ในปัจจุบันย้ำเตือนเราว่า ข่าวประเสริฐของพระคริสต์อาจเผชิญการตอบโต้รุนแรงได้ ถ้าเราไม่เคยถูกข่มเหงเพราะความเชื่อ ขอให้เราอธิษฐานเผื่อคริสตจักรทั่วโลกที่ถูกข่มเหงและเมื่อเราต้องถูกทดสอบ ก็ขอให้เราได้พบพระคุณเพื่อจะสัตย์ซื่อต่อพระองค์ผู้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อเรา
ข้าแต่พระเจ้า เราเชื่อว่าพระองค์ทรงกันแสงที่บรรดาบุตรของพระองค์ต้องเจ็บปวดทนทุกข์เพราะพวกเขารักพระองค์ ขอทรงเสริมกำลังและประทานพระคุณแก่พวกเขาในการทนทุกข์นั้น
ขอให้เราได้รับพระคุณที่จะเดินตามรอยพระบาทพระองค์

โดย Amy Boucher Py
พันธกิจมานาประจำวัน 

Sacrificial Faith

Blessed are those who are persecuted because of righteousness, for theirs is the kingdom of heaven. Matthew 5:10
It’s Sunday afternoon, and I’m sitting in the garden of our home, which is near the church where my husband is the minister. I hear wafts of praise and worship music floating through the air in the Farsi language. Our church in London hosts a vibrant Iranian congregation, and we feel humbled by their passion for Christ as they share some of their stories of persecution and tell of those, such as the senior pastor’s brother, who have been martyred for their faith. These faithful believers are following in the footsteps of the first Christian martyr, Stephen.
Stephen, one of the first appointed leaders in the early church, garnered attention in Jerusalem when he performed “great wonders and signs” (Acts 6:8) and was brought before the Jewish authorities to defend his actions. He gave an impassioned defense of the faith before describing the hard-heartedness of his accusers. But instead of repenting, they were “furious and gnashed their teeth at him” (7:54). They dragged him from the city and stoned him to death—even as he prayed for their forgiveness.
The stories of Stephen and modern martyrs remind us that the message of Christ can be met with brutality. If we have never faced persecution for our faith, let’s pray for the persecuted church around the world. And may we, if and when tested, find grace to be found faithful to the One who suffered so much more for us.
Lord God, we believe You weep at the pain and anguish some of Your children experience because they love You. We pray that You will strengthen them in the midst of their suffering and send them Your grace.
May we find grace to walk in the Master’s steps.


By Amy Boucher Py
The Daily Ministies